ซื้อของเงินสดกับเงินผ่อน แบบไหนดีกว่ากัน
หากเราอยากซื้อสินค้าหรืออยากเป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง
เราก็ต้องมีเงินจะได้หาซื้อมาได้ นี่เป็นหลักพื้นฐานทั่วไป
แต่สมัยนี้ไม่เป็นแบบนั้นแล้ว ถึงแม้ไม่มีเงินหรือมีเงินแต่
ยังไม่พอก็สามารถซื้อสินค้าหรือเป็นเจ้าของสิ่งที่เราอยาก
ได้เช่นกัน ไม่ได้หมายถึงให้เราไปปล้น ไปขโมย หรือหยิบ
ของเขามาเฉย ๆ นะ แต่เป็นเพราะสมัยนี้มีบริการที่เขา
เรียกกันว่า “เงินผ่อน” ที่เป็นตัวช่วยให้คนสามารถเลือก
หาสินค้าที่จำเป็นหรือถูกใจมาใช้ได้ก่อน แล้วค่อยทยอย
จ่ายเงินคืนทีหลัง

การซื้อแบบเงินสด คือ การที่เราจ่ายเงินสดครบทั้งจำ
นวนมูลค่าราคาของสินค้าที่เราจะซื้อ ผู้ซื้อต้องมีเงินใน
จำนวนที่เพียงพอกับราคาของสินค้าที่เราจะซื้อ เมื่อซื้อ
เสร็จแล้วเราก็เป็นเจ้าของสินค้านั้นทันที เป็นการจ่าย
เงินครั้งเดียวแล้วจบเลย ไม่มีพันธะสัญญาอะไรต่อเนื่อง
มาภายหลัง ส่วนการซื้อแบบเงินผ่อน เป็นการไม่ได้จ่าย
เงินเต็มจำนวนมูลค่าราคาของสินค้าที่เราจะซื้อ อาจจ่าย
เงินในขณะที่ซื้อแค่เพียงบางส่วน แล้วส่วนที่เหลือค่อย
ทยอยจ่ายเป็นงวด ๆ ในภายหลัง โดยจำนวนเงินที่จ่าย
ก่อนบางส่วนและจำนวนเงินที่ผ่อนชำระคืนเป็นงวด ๆ
ในภายหลังจะเป็นเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับผู้ขายสินค้าว่าจะ
เสนอรูปแบบเงินผ่อนแบบใด ผู้ซื้อแค่เพียงจ่ายเงินบาง
ส่วนก็สามารถใช้ประโยชน์จากสินค้านั้นได้ทันที สินค้า
บางอย่างผู้ซื้อก็เป็นเจ้าของเลย บางอย่างก็ยังไม่เป็นเจ้า
ของ ไว้เราจะคุยกันถึงเรื่องนี้อีกทีในลำดับต่อไป การซื้อ
ของแบบเงินผ่อนนี้ผู้ซื้อไม่จำเป็นต้องมีเงินครบตามจำ
นวนมูลค่าราคาของสินค้าก็ได้ การซื้อของแบบเงินผ่อน
เป็นที่นิยมกันมากขึ้น เป็นเพราะความต้องการสินค้ามี
มากขึ้น แต่รายได้ไม่เพียงพอก็เลยต้องซื้อแบบเงินผ่อน

ทำไมผู้ขายสินค้าถึงยอมให้ผ่อนได้ ทั้งที่ไม่ได้เงินสดใน
ทันที ปกติแล้วตามความเข้าใจ หากเราเป็นผู้ขายสินค้า
เราก็คงอยากขายของแล้วได้เงินสดมาเลยทันที แต่เนื่อง
จากอย่างที่บอกข้างต้นการจะซื้อเงินสดผู้ซื้อต้องมีเงิน
ครบตามจำนวนมูลค่าของสินค้าที่จะซื้อ หากเงินไม่พอ
ก็ไม่สามารถซื้อได้ ทำให้ผู้ขาย ขายของไม่ได้ ยอดขายก็
ไม่ดี กว่าจะรอให้แต่ละคนเก็บเงินมากพอแล้วมาซื้อของ
ของเรา ระบบการซื้อของแบบเงินผ่อนเลยก่อกำเนิดขึ้น
มาเพื่อเป็นการสร้างหรือกระตุ้น ผู้ขายก็เป็นฝ่ายรับความ
เสี่ยงอยู่เหมือนกัน หากซื้อไปแล้ว หนีไปเลยไม่จ่าย ผู้ขาย
ก็ไม่สามารถเก็บเงินได้ ต้องไปไล่ตามหนี้กันต่อไป ดังนั้น
การที่ผู้ขายต้องรับความเสี่ยงเพิ่มนี้ ราคาซื้อเงินผ่อนของ
สินค้าตัวเดียวกันเลยต้องสูงกว่าราคาซื้อแบบเงินสด ผู้
ขายจะตั้งราคาขายไว้ทั้ง 2 ราคา ผู้ซื้อก็เพียงแต่เลือกว่า
หากซื้อเงินสดก็จะได้ในราคาที่ต่ำกว่า แต่ถ้าซื้อผ่อนก็
ต้องจ่ายเงินมากกว่าถือเป็นค่าดอกเบี้ยให้กับผู้ขายไป

การซื้อของแบบเงินสดเหมาะกับการซื้อของที่มีมูลค่า
ไม่มากนักอยู่ในวงเงินที่เราพอจะซื้อหามาได้ เช่น
อาหาร ขนม เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า หนังสือ ของใช้
จุกจิกในชีวิตประจำวัน เป็นต้น ส่วนการซื้อของแบบ
เงินผ่อนเหมาะกับการซื้อของที่เป็นของชิ้นใหญ่ หรือ
เป็นของที่มีมูลค่าหรือราคาสูง ยากที่จะได้มาด้วยการ
จ่ายเงินสดครั้งเดียว หรือแม้จะมีเงินสดจ่าย แต่ก็ทำให้
เงินเก็บของเราร่อยหรอแทบไม่เหลือ เช่น บ้าน คอนโด
มีเนียม รถยนต์ จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ จำ
พวก ตู้เย็น โทรทัศน์ เครื่องซักผ้า โทรศัพท์มือถือ คอม
พิวเตอร์ เครื่อดงดนตรี กีตาร์ เบส กลอง เปียโน คีย์บอร์ด
ฯลฯ

หากเราไปเดินตามห้างสรรพสินค้า เราจะ
เห็นเลยว่าสินค้าประเภทใดที่ต้องซื้อด้วยเงินสด และสิน
ค้าประเภทใดที่ต้องซื้อด้วยเงินผ่อน เพราะจะเห็นป้าย
ราคาที่ติดไว้ เช่น หากผ่านแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า จะเห็น
ว่ามีบอกรายเอียดเกี่ยวกับการซื้อเงินสดและการซื้อแบบ
เงินผ่อนให้รูปแบบต่าง ๆ ให้เห็นกันอย่างเด่นชัด
การซื้อของแบบเงินผ่อนมีอยู่ด้วยกันหลากหลายประเภท
โดยจะขอสรุปไว้ ณ ที่นี้ ดังนี้
การผ่อนผ่านบัตรเครดิต เป็นการใช้บัตรเครดิตที่เรามี
อยู่กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน เพื่อใช้ในการผ่อนสิน
ค้าหรือบริการ โดยเป็นการผ่อนชำระคืนโดยใช้บัตรเคร
ดิตเป็นเครื่องมือในการชำระเงินในแต่ละงวดคืนให้กับ
ธนาคาร วิธีนี้ผู้ซื้อจะเป็นลูกหนี้ของธนาคารเจ้าของบัตร
เครดิต ส่วนราคาค่าสินค้าที่ซื้อขายทางผู้ขายสินค้ากับ
ทางธนาคารเขาก็จะไปจัดการตกลงชำระกันเอง ร้านค้า
หรือห้างสรรพสินค้าหากอยากจะเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น
ก็มักจะติดต่อธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อมาร่วมมือ
กันในการจัดโปรแกรมเงินผ่อนสินค้าประเภทต่าง ๆ เพื่อ
เป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่มีเงินไม่พอ ก็สามารถซื้อสินค้า
ได้ แบบที่เราเห็นตามป้ายราคาสินค้า ที่เห็นกันบ่อย ๆ
ก็เป็นแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น โปรโมชั่น ผ่อน 0% 6
เดือน หรือ ผ่อน 0% 12 เดือน เป็นต้น หากราคาสินค้า
อยู่ที 12,000 บาท ผ่อน 0% 6 เดือน ก็หมายความว่า
จะมียอดเดือนละ 2,000 บาท เข้ามาในรอบรายการ
บัตรเครดิตที่เราต้องจ่ายให้แต่ละรอบ เป็นจำนวน 6 งวด
หากผ่อน 0% 12 เดือน ก็หมายความว่า จะมียอดเดือน
ละ 1,000 บาท เข้ามาในบัญชีบัตรเครดิตที่เราต้องชำระ
ทุกเดือน เป็นเวลา 12 เดือน เงื่อนไขและรายละเอียดใน
การผ่อนชำระก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างร้านค้า/ห้าง
สรรพสินค้า และธนาคารหรือสถาบันการเงินผู้ออกบัตร
เครดิต หากโปรโมชั่นที่เห็นไม่มีบัตรเครดิตที่เราถืออยู่ร่วม
รายการ เราอาจลองโทรไปสอบถามธนาคารที่เราถือบัตร
อยู่ก็ได้ บางทีอาจได้รับการอนุมัติให้ผ่อนสินค้าเป็นกรณี ๆ
ไปได้เช่นกัน
การผ่อนผ่านบัตรผ่อนสินค้า เช่น บัตรอิออน บัตรกรุงศรี
เฟิร์สช้อย บัตรโฮมโปร บัตรพาเวอร์บาย ฯลฯ เป็นบัตรที่
สมัครเพื่อใช้สำหรับผ่อนสินค้าทุกประเภทโดยตรง หลัก
เกณฑ์ในการสมัครบัตรผ่อนสินค้าจะต่ำกว่าบัตรเครดิต
ปกติ คือ มีเงินเดือน 7,000 บาทต่อเดือน ก็สามารถสมัคร
ได้ ในขณะที่บัตรเครดิตต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำ 15,000 บาท
ต่อเดือน การผ่อนสินค้าผ่านบัตรผ่อนสินค้า โดยมากมักจะ
ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย แต่ก็มีแบบโปรโมชั่น 0% เช่นกัน
ปัจจุบันค่ายบัตรผ่อนสินค้า ไม่ว่าจะเป็นบัตรอิออน บัตร
กรุงศรี เฟิร์สช้อย ต่างก็ออกบัตรผ่อนสินค้าให้รวมวงเงิน
ทั้ง 2 แบบไว้ด้วยกันในบัตรเดียวเลย สามารถใช้สำหรับ
การผ่อนชำระสินค้า และใช้เพื่อกดเงินสดยามฉุกเฉินก็
ได้ด้วย สมัยนี้อนุมัติให้เงินกันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยทีเดียว
แต่การกดเงินสดในกรณีฉุกเฉินนี้ก็จะมีค่าธรรมเนียมใน
การกดเงินสดอยู่ และหากชำระคืนไม่หมดก็จะต้องเสีย
ดอกเบี้ยในราคามหาโหดด้วยปกติแล้วจะอยู่ที่มากกว่า
20% ต่อปีเลยทีเดียว

การซื้อรถยนต์แบบเงินผ่อน อันนี้ถือเป็นเรื่องปกติของ
คนที่ซื้อรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์เป็นทรัพย์สินที่ราคาสูง
ความต้องการใช้รถยนต์มีมากกว่าและต้องการใช้ก่อนที่
จะเก็บเงินได้ทันด้วย ดังนั้นพอมีเงินเก็บได้สักจำนวน
หนึ่งที่พอจะเป็นค่าดาวน์รถยนต์ได้ ก็มักจะมาดาวน์
รถยนต์เพื่อมาใช้ แล้วเงินส่วนที่เหลือก็ผ่อนชำระเอาอาจ
จะเป็น 3 ปี 5 ปี ก็แล้วแต่ความสามารถที่จะผ่อนคืนใน
แต่ละเดือนได้ ค่ายรถยนต์หลายค่ายก็หันมาเปิดบริษัท
ไฟแนนซ์รถยนต์เป็นของตัวเอง เช่น โตโยต้า ลิสซิ่ง,
ฮอนด้า ลิสซิ่ง ฯลฯ ซื้อรถยนต์กับเขาแล้วก็ผ่อนชำระ
กับเขาได้เลยเสร็จสรรพ แต่โดยมากทางค่ายรถยนต์ก็
มักมีแผนการผ่อนชำระคืนหลาย ๆ แผนจากหลายธนา
คารและสถาบันการเงินเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกแผนที่ตน
เองพอใจ การซื้อรถยนต์แบบเงินผ่อนต้องมีการสมัคร
และทำเรื่องยื่นไปทางธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อ
ขออนุมัติสินเชื่อ หากได้รับการอนุมัติแล้วถึงจะสามารถ
ซื้อแบบผ่อนได้ การผ่อนรถยนต์โดยมากดอกเบี้ยจะอยู่
ที่ราว 3-5% ต่อปี การซื้อรถยนต์แบบเงินผ่อนนี้จะมี
ความต่างจากการซื้อสินค้าเงินผ่อนทั่วไปตรงที่กรรมสิทธิ์
ความเป็นเจ้าของรถยนต์จะยังไม่เป็นของเราจนกว่าเราจะ
ผ่อนครบตามสัญญาถึงจะมีการโอนเป็นชื่อของเรา แปล
ว่าหากเราไม่สามารถผ่อนต่อได้ ขาดส่งเงินผ่อน ทางบริ
ษัทไฟแนนซ์ก็มีสิทธิ์มายึดรถยนต์ของเราไปได้

การซื้ออสังหาริมทรัพย์แบบเงินผ่อน เช่น บ้าน หรือ
คอนโดมีเนียม วิธีนี้ต้องยื่นเรื่องผ่านธนาคารเพื่อขออนุ
มัติในการผ่อนชำระ โดยทางธนาคารหรือสถาบันการเงิน
ก็จะขอข้อมูลทางการเงินต่าง ๆ ของเราเพื่อนำไปเป็นปัจ
จัยในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ เช่น รายได้ต่อเดือน ภาระ
เงินกู้ในปัจจุบัน ประวัติสินเชื่อ ฯลฯ วิธีนี้เราอาจจะต้องมี
เงินเก็บบางส่วนเพื่อเป็นเงินดาวน์ ส่วนที่เหลือก็เลือกโปร
แกรมการผ่อนชำระคืนว่าเราสะดวกที่จะผ่อนคืนเดือนละ
เท่าไหร่ และใช้เวลานานแค่ไหน เช่น อยากผ่อนน้อย ๆ
แต่ผ่อนนาน หรือ อยากผ่อนมาก ๆ จะได้จบเร็ว ๆ การ
ซื้อบ้านหรือคอนโดมีเนียมแบบเงินผ่อนนี้เหมือนกับการ
ซื้อรถยนต์ เราจะได้รับกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของหลัง
จากที่เราผ่อนคืนเงินจนครบตามกำหนดสัญญา หากก่อน
หน้านั้นขาดส่งการชำระเงินทางธนาคารก็มีสิทธิ์มายึดบ้าน
ยึดคอนโดของเราคืนไปได้

การซื้อของแบบเงินผ่อนโดยมากแล้วเราจะต้องเสียดอก
เบี้ยให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงิน จะมากหรือน้อยก็
ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการผ่อนชำระนั้น ๆ แต่สำหรับโปร
โมชั่นผ่อน 0% หลายคนอาจจะไม่เข้าใจว่าแล้วธนาคาร
หรือสถาบันการเงินเขาได้อะไร แต่เราในฐานะของผู้ซื้อ
ต้องชอบอยู่แล้ว เพราะไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
แถมยังได้ผ่อนฟรีแบบไม่เสียดอกเบี้ยอีกด้วย ข้อแรก คือ
แม้จะเป็นโปรโมชั่น 0% แต่ราคาสินค้านั้นก็เหมือนรวม
ดอกเบี้ยเข้าไปอยู่แล้ว เพราะหากเราไม่เอะใจไม่ถามพนัก
งานว่า หากเราจะซื้อด้วยเงินสดจะต้องจ่ายเท่าไหร่ เนื่อง
จากคิดว่ามีแต่ราคาโปรโมชั่น 0% อย่างเดียว ตอนนี้ต้อง
รู้เลยว่า โดยมากแม้มีโปรโมชั่นผ่อน 0% แต่หากเราซื้อเป็น
เงินสด ราคาสินค้าจะถูกกว่าประมาณ 3-5% หรืออาจมาก
น้อยแตกต่างไปจากนี้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างร้าน
ค้าและธนาคารด้วย หากร้านค้าบางร้านอยากเพิ่มยอดขาย
ให้มากขึ้นด้วยโปรโมชั่น 0% บางครั้งก็ต้องยอมจ่ายดอก
เบี้ยให้กับธนาคารด้วยซ้ำ เพิ่มเติมจากค่าธรรมเนียมที่ต้อง
จ่ายให้กับธนาคารในกรณีบัตรเครดิตอยู่แล้ว

นอกจากนั้นการให้เราผ่อนชำระเงินค่าสินค้าได้ยิ่งระยะเวลา
นานเท่าใด ก็เหมือนการเป็นหนี้ บางเดือนหากจ่ายคืนไม่ทัน
หรือขาดเงินไม่สามารถผ่อนชำระได้เต็มจำนวน นั่นก็จะเริ่ม
เป็นปัญหาของเราและก็เป็นเรื่องดีของธนาคาร เพราะถึงเวลา
นั้นดอกเบี้ยจะเริ่มทำงานทันทีและต้องไม่ลืมว่าดอกเบี้ยสำหรับ
การผ่อนชำระสินค้านั้นสูงขนาดไหน นี่เป็นคำตอบของคำถาม
ที่ว่าธนาคารได้อะไรจากโปรโมชั่นผ่อน 0% แหม ทำไมใจดีจัง
ให้เงินเรามาก่อนใช้แบบฟรี ๆ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
อ่านมาถึงบรรทัดนี้จะรู้สึกว่าการซื้อของแบบเงินผ่อนก็มีทั้งข้อ
ดีและข้อควรระวัง ซึ่งจะขอสรุปไว้เป็นแนวทาง เริ่มจากข้อดี
ก่อนละกัน
ไม่ต้องจ่ายเงินก้อน หากเรามีเงินไม่พอแต่ต้องการใช้สินค้าก่อน
ก็สามารถทำได้ หรือแม้เรามีเงินเก็บมากพอ แต่ทางเลือกของ
การผ่อนชำระก็ทำให้เราไม่ต้องใช้เงินก้อนส่วนใหญ่ของเราไป
ให้เรามีเงินก้อนเหลืออยู่กับตัวเราเพื่อความอุ่นใจ ไม่อย่างนั้น
อาจทำให้เราต้องลำบากทีหลังเมื่อมีเหตุจำเป็นต้องใช้เงินขึ้นมา
ยิ่งหากเรามีโอกาสนำเงินก้อนนั้นไปลงทุนเพื่อให้ได้กำไรงอก
เงยขึ้นมากกว่าดอกเบี้ยที่เราจะต้องเสียจากการผ่อนชำระสิน
ค้าก็ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์จากการผ่อนชำระที่คุ้มค่ามาก
ยิ่งขึ้น ส่วนมากคนที่ซื้อรถยนต์แบบเงินผ่อนก็เป็นเพราะสา
เหตุนี้ที่ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยผ่อนรถยนต์ถือว่าไม่แพง คน
ส่วนใหญ่เลยเลือกผ่อนรถยนต์แล้วเก็บเงินก้อนไปลงทุนอย่าง
อื่นเพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่านั่นเอง
ประหยัดกับโปรโมชั่นดีๆ อย่างเช่น โปรโมชั่น 0% นี้ หาก
พิจารณาเปรียบเทียบการซื้อแบบเงินสดและผ่อน 0% แล้ว
รู้สึกผ่อน 0% ทำให้สบายใจกว่าก็สามารถเลือกผ่อนแบบ
0% ได้ สบายเหมือนได้ผ่อนจ่ายแบบฟรี ๆ แค่ถึงเวลาก็ไป
จ่ายคืนในจำนวนที่กำหนดไว้
ได้สินค้ามาใช้ก่อน ในกรณีที่สินค้ามีราคาสูง เช่น รถจักร
ยานยนต์ รถยนต์ โทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ กว่า
จะเก็บเงินพอเพื่อซื้อได้ คงอีกนาน ทางเลือกในการผ่อน
ชำระเป็นการช่วยให้เรามีโอกาสได้ใช้ของที่จำเป็นแล้ว
ค่อยผ่อนจ่ายในภายหลังได้ ถือเป็นการช่วยเหลือคนที่
มีรายได้น้อยอีกทางหนึ่งด้วย
กระตุ้นเศรษฐกิจ การผ่อนซื้อสินค้าเป็นการช่วยกระ
ตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ เนื่องจากทำให้เกิด
การจับจ่ายใช้สอยสินค้า ทำให้เศรษฐกิจมีการหมุนเวียน
เคลื่อนไหว เกิดจากจ้างงานตั้งแต่ขบวนการผลิตไปจนถึง
ขั้นตอนสุดท้ายบริการหลังการขายกันเลย
ส่วนข้อควรระวังของการซื้อของแบบเงินผ่อน หรือ บางคน
เรียกว่า กับดักเงินผ่อน ก็มีดังนี้
การซื้อสินค้าจะตัดสินใจง่าย ไม่ได้ผ่านการพิจารณาให้
รอบคอบก่อน ถือเป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ฟุ่มเฟือยในการ
ใช้จ่าย เพราะคิดว่าผ่อนต่อเดือนไม่มาก ทำให้อาจตัดสิน
ใจซื้อของที่ไม่จำเป็นมาใช้ ทำให้สูญเสียโอกาสที่จะมีเงิน
เหลือเก็บสำหรับออมเงินหรือลงทุนไปได้อย่างน่าเสียดาย
เป็นเรื่องแน่นอนที่การต้องควักกระเป๋าหยิบเงินสดออกมา
จ่ายสำหรับซื้อของอะไร จะทำให้เราต้องผ่านกระบวนการ
คิดพิจารณามากกว่าการซื้อของที่เราไม่ต้องควักกระเป๋าจ่าย
ผ่อนแล้วผ่อนเลยจ่ายคืนเต็มไม่ได้ ไม่ยืดหยุ่นสำหรับการผ่อน
ซื้อสินค้าบางประเภทจะไม่ให้ปิดบัญชีก่อนหากเรามีเงินก้อน
ต้องทนผ่อนไปจนครบกำหนด หรือการผ่อนซื้อสินค้าบางอย่าง
เช่น รถยนต์ บ้าน หรือคอนโดมิเนียม อาจให้มีการปิดบัญชีก่อน
ได้ แต่ก็จะต้องมีค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมอะไรต่อมิอะไรเยอะ
แยะไปหมด
เสียดอกเบี้ย แม้ผู้ซื้อสินค้าแบบเงินผ่อนจะรู้สึกว่าในแต่ละ
เดือนเราผ่อนชำระไม่มาก แต่เมื่อเราคิดคำนวณดีๆ เราจะ
พบว่าเราเสียดอกเบี้ยไปไม่น้อยเลย ยกตัวอย่าง หากเรา
ซื้อรถยนต์ด้วยเงิน 1 คัน มูลค่า 800,000 บาท หากเลือก
ผ่อนชำระเดือนละ 15,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี ดูเหมือน
ผ่อนสบาย ๆ แต่เมื่อดูจำนวนเงินรวม 15,000x60=
900,000 บาท ดอกเบี้ยที่เสียจากการซื้อแบบผ่อนชำระ
เป็นจำนวนมากถึง 100,000 บาทเลยทีเดียว
โอกาสที่จะติดกับดักเงินผ่อน รูปแบบการซื้อของแบบผ่อน
ชำระผ่านบัตรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบัตรกดเงินสด บัตรเครดิต
หรือบัตรเงินผ่อนต่างก็ออกมาเพื่อหลอกล่อให้เราติดกับอยู่
แล้ว เราต้องรู้เท่าทันและเลือกใช้ประโยชน์จากการผ่อนซื้อ
สินค้าให้ถูกต้อง โดยต้องใช้ซื้อเฉพาะสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น
ที่สำคัญต้องดูความสามารถในการผ่อนชำระคืนต่อเดือนของ
เราว่าต้องสามารถทำได้อย่างแน่นอนแบบมั่นคง ไม่ใช่คิดว่า
ผ่อนได้ แต่ผ่อนไปแค่ 3-4 เดือน ก็เริ่มมีปัญหาการเงิน ผ่อน
ไม่ไหว แบบนี้ไม่ได้ เพราะจะทำให้เราติดกับดักเงินผ่อนเข้า
โดยจะต้องเสียดอกเบี้ยแพงหูฉี่มากถึงกว่า 20% ต่อปี ยิ่งทบ
ต้นทบดอกเข้าไป ก็ยิ่งยากที่จะยิ่งจ่ายไหว เรื่องนี้ถือเป็นสิ่ง
สำคัญที่ต้องระวังมากที่สุดสำหรับคนที่เลือกการซื้อสินค้า
แบบเงินผ่อน สำหรับการผ่อนจ่ายผ่านบัตรผ่อนสินค้าหรือ
บัตรเครดิตเรื่องที่ต้องระวังอีกข้อก็คือ หากงวดใดที่เราไม่ได้
จ่ายคืนตามกำหนด ธนาคารจะเริ่มคิดดอกเบี้ย ซึ่งดอกเบี้ย
ไม่ได้เริ่มคิดจากระยะเวลาตามกำหนดเดิมที่จะต้องคืน แต่
จะย้อนกลับไปคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่เราซื้อสินค้าเลย คิดดู
หากลืมจ่ายสักงวดจะโดนดอกเบี้ยไปเท่าไหร่ ซึ่งที่จริงก็เป็น
วิธีปกติที่ทางธนาคารคิดดอกเบี้ยจากบัตรเครดิตที่เราทราบ
ดีกันอยู่แล้ว

โดยข้อพึงระวังในการชื้อของผ่านบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด
หรือบัตรผ่อนสินค้า คุณควรใช้จ่ายตามความจำเป็นไม่ใช่ตาม
ใจฉันไปชะทุกอย่าง ไหนจะค่ารถ ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าจิ
ปาถะ ที่ต้องจ่ายทุกเดือน คุณยังมาสร้างหนี้สินให้ตัวเองอีก
เพราะความอยากได้ ด้วยการซื้อของแบบเงินผ่อนออนไลน์
ไม่ว่าจะเครื่องประดับ รถยนตร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า กระเป๋า
นาฬิกา เสื้อผ้า รองเท้า จากหลายแบรนด์ดังๆ ที่ชอบจัด
โปรโมชั่นพิเศษเพื่อล่อตาล่อใจนักช็อปปิ้งทั้งหลาย พอสิ้น
เดือนมาก็ต้องมาใช้หนี้บัตรท่วมหัว ดังนั้นพยามยามอย่า
สมัครบัตรกดเงินสดหรือบัตรที่ใช้รูดซื้อสินค้าได้ไว้หลายใบ
ในกระเป๋าคุณ อย่างน้อยก็ให้มีบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด
อย่างละใบก็เพียงพอแล้ว หลีกเลี่ยงการถอนเงินจากบัตร
กดเงินสดเพื่อมาใช้จ่ายล่วงหน้า เดี๋ยวจะเป็นการเพิ่มหนี้
สินในบัตรให้กับคุณอีก คอยตรวจสอบยอดคงค้างใช้จ่าย
ในใบเรียกเก็บที่ส่งมาทุกเดือนๆ เพื่อจะได้รู้ว่ารายการที่
รูดไปถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ และอย่างน้อยทุกเดือน
คุณควรชำระยอดขั้นต่ำเพื่อรักษาสถานะบัตรของคุณไว้
ที่สำคัญสิ้นปีมาได้โบนัสคุณควรที่จะใช้หนี้บัตรทุกประ
เภทไม่ว่าจะบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด บัตรเฟิร์สช้อย
บัตรอิออน บัตรพาเวอร์บาย ฯลฯ ที่คุณรูดไป ให้มียอด
หนี้คงเหลือน้อยที่สุดหรือปิดบัญชีบัตรไปเลยจะยิ่งดี
การซื้อของแบบเงินสดและเงินผ่อนต่างก็มีข้อดีข้อเสีย
แตกต่างกันไป การเลือกซื้อสินค้าแบบเงินสดหรือเงิน
ผ่อนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่แตกต่างกันไปของแต่ละ
บุคคล สิ่งที่สำคัญก็คือพื้นฐานหลักที่คนทุกคนควรยึด
ถือปฏิบัติก็คือในเรื่องของความพอเพียง ความจำเป็น
ที่ไม่ฟุ่มเฟือยและฟุ้งเฟ้อ ความมีวินัยในการใช้จ่ายเงิน
ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก หากเรามีหลักในการยึดเช่นนี้ ไม่
ว่าจะซื้อของแบบเงินสดหรือเงินผ่อนก็ไม่ได้มีความแตก
ต่างกันมากสำหรับเรา เป็นแค่ทางเลือกในการพิจารณา
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดของเราเท่านั้น และโอกาสใน
การที่จะติดกับดักทางการเงินก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เช่นกัน
