กิบสันมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร
เล่าแบบสรุปบ้านๆ กิบสันกู้เงินจากธนาคารและขายตราสารหนี้
หรือหุ้นกู้เพื่อระดมเงินมาลงทุน ซึ่งการหาเงินลงทุนด้วยวิธีนี้ก็
จะมีการชักชวนโดยโฆษณาแผนการลงทุนต่างๆนาๆ ใครที่สน
ใจร่วมลงทุนก็จะซื้อหุ้นกู้นี้แล้วรอรับผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้
รับตามที่โฆษณาไว้ การระดมทุนแบบนี้กิบสันก็มีสถานะเป็น
ลูกหนี้ และต้องนำเงินที่นักลงทุนเขาไว้วางใจให้มานั้นไปลงทุน
ทำธุรกิจต่างๆ ตามแผนการลงทุนที่ประกาศไว้ตอนขายหุ้นกู้
เพื่อให้เกิดกำไรงอกเงยและมีเงินมาใช้หนี้ + จ่ายผลตอบแทน
ให้นักลงทุนภายในเวลาที่กำหนด
แต่ถึงตอนนี้ เพื่อนๆ คงเดาออกแล้วใช่ไหมครับ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้น
คืออะไร? ใช่ครับ กิบสันเอาเงินไปลงทุนแล้ว แต่ไม่ประสบ
ความสำเร็จครับ ก็เลยไม่มีเงินพอใช้หนี้ที่ยืมมาจากนักลงทุน
ซึ่งหนี้สินของกิบสันมีจำนวนสูงถึง 522 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 16,400 ล้านบาท!! โดยเป็นเงินกู้
จากธนาคาร 145 ล้านดอลลาร์สหรัฐซึ่งมีกำหนดชำระคือ
วันที่ 23 กรกฎาคม 2018 และตราสารหนี้อีก 377 ล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ ที่ต้องชำระช่วงต้นเดือนสิงหาคมปีนี้เช่นกัน
หรือนับจากวันนี้ก็เหลือเวลาอีกประมาณ 4 เดือนที่จะต้องหา
เงินมาใช้หนี้ให้ทัน
สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือด้านการลงทุนชื่อดัง 2 สำนัก
เริ่มจาก S&P (Standard and Poor) ได้จัดอันดับความน่าเชื่อ
ถือของ Gibson ให้อยู่ในเรตติ้ง CCC-minus ซึ่งหมายความ
สถานะทางการเงินอยู่ในขั้นใกล้ล้มละลาย รวมถึง Moody’s
Investor Services ก็ดาวน์เกรดความน่าเชื่อทางการเงินของ
กิบสันลงไปอยู่ระดับ Caa3 ซึ่งก็ย่ำแย่ไม่ต่างกัน
Kevin Cassidy นักวิเคราะห์อาวุโสด้านการลงทุนของมูดดีส์
ให้ความเห็นว่า กิบสันต้องเร่งลดภาระต้นทุนอย่างเร่งด่วน
ควบคู่ไปกับการเพิ่มผลกำไรอย่างต่อเนื่อง หากเรื่องนี้จบลง
ด้วยการประกาศล้มละลาย ก็เท่ากับว่า เขา (CEO ของกิบสัน
Henry Juszkiewicz) ต้องเสียทั้งบริษัทไป กิบสันต้องเร่งปรับ
โครงสร้างอะไรบางอย่างเพื่อความอยู่รอด ที่จริงธุรกิจหลัก
(เครื่องดนตรีแบรนด์ Gibson) ของบริษัทฯ เป็นธุรกิจที่มีความ
มั่นคงและยั่งยืนอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมีการแก้ปัญหางบดุล
(balance sheet problem) และปัญหาการปฏิบัติงาน
(operational problem) ให้ได้
การลงทุนที่ผ่านมา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กิบสันนำเงินไปลงทุนซื้อกิจการต่างๆ
ในกลุ่มธุรกิจเครื่องเสียง สรุปได้ดังต่อไปนี้ครับ
ซื้อกิจการบริษัท Cakewalk ในปี 2013 ซึ่งเป็นปีที่กู้เงินธนา
คารมา 145 ล้านเหรียญ หรือราวๆ 4,525 ล้านบาท
ซื้อกิจการเครื่องเสียงและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิง
Phillips ในปี 2014 ด้วยเงินมากกว่า 135 ล้านเหรียญ
ซื้อกิจการเครื่องเสียงระดับโปร ยี่ห้อ TEAC ของญี่ปุ่น
ซื้อหุ้นบริษัท Onkyo ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์เครื่อง
เสียง Pioneer ด้วย นอกจากนี้ เว็บไซต์ musicradar ได้สรุป
รายชื่อแบรนด์เครื่องเสียงที่กิบสันซื้อกิจการไว้ มี KRK
Systems, TASCAM, Cakewalk, Cerwin-Vega!, Stanton,
Onkyo, Integra, TEAC, TASCAM Professional Software,
และ Esoteric
รวมทั้งมีแบรนด์ต่างๆ ที่เป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องดนตรี เช่น
Epiphone, Dobro, Valley Arts, Kramer, Steinberger,
Tobias, Slingerland, Maestro, Baldwin, Hamilton,
Chickering และ Wurlitzer
สัญญาณเตือน
ก่อนเรื่องกิบสันใกล้ล้มละลายจะกลายเป็นข่าวดังเมื่อเดือนกุม
ภาพันธ์ปีนี้ กิบสันก็เริ่มทำอะไรที่ส่อลางไม่ดีมาสักพักแล้ว
อย่างในเดือนตุลาคมปี 2017 เว็บไซต์ musicradar รายงานว่า
กิบสันประกาศขายโรงงานผลิตกีตาร์ที่ Memphis ซึ่งแฟนๆก็คง
รู้กันดีว่าโรงงานแห่งนี้เป็นสถานที่ผลิตกีตาร์ไฟฟ้าตัวกลวงตระกูล
ES หลายรุ่นที่แฟนๆต่างปรารถนา โรงงานดังกล่าวกิบสันตั้งราคา
ขายไว้ที่ 18 ล้านเหรียญ โดยบริษัทจะหาสถานที่แห่งใหม่ที่เล็ก
กว่าและมีค่าบริหารจัดการที่ถูกกว่า แทนโรงงานเดิม
ป๋าสแลชยืนคู่กับ CEO บริษัท Gibson นาย Henry Juszkiewicz
ผู้อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายแหล่ของแบรนด์นี้
บุคคลผู้ซึ่งกำลังเป็นที่กล่าวขานในวงการกีตาร์มากที่สุดคน
หนึ่ง และผมว่าเพื่อนๆที่เป็นสาวกกิบสันคงจะจดจำเขาไป
อีกนานแสนนานเลยล่ะครับ ส่วนที่ป๋าสแลชแกต้องไปยืนใน
งานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแบบนั้นก็ต้องเข้าใจแกครับ ต้องไป
ช่วยขายกีตาร์ลายเซ็นของตัวเอง

แก้ไขสถานการณ์: เลิกจ้าง – ขายกิจการบางส่วน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา Henry Juszkiewicz ออกมายอม
รับว่าบริษัทเหลือเวลาไม่มากนักในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทาง
การเงิน และประกาศว่ากำลังเร่งดำเนินการหลายอย่างตามแผน
refinance ที่วางไว้ เพื่อให้กิบสันกลับมาประสบความสำเร็จทาง
การเงินดังเช่นที่เคยเป็นในอดีต ดังนี้ครับ
กิบสันอยู่ระหว่างปรึกษากับธนาคารเพื่อการลงทุน Jefferies
Investment Bank เกี่ยวกับการ refinance หนี้สินของบริษัท
ยืนยันจะเดินหน้าธุรกิจเครื่องเสียงของแบรนด์ Phillips ต่อไป
โดยจะเน้นทำตลาดเฉพาะสินค้าที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง
ยกเลิกการผลิตสินค้าที่ไม่ทำกำไรหรือทำได้ต่ำกว่าเป้า
แปลงสินทรัพย์ต่างๆ ที่ไม่สร้างผลกำไร ให้กลายเป็นทุน
(monetize) โดยสินทรัพย์ที่ว่านั้นก็ได้แก่ หุ้น อสังหาริมทรัพย์
และแบรนด์ลูกบางแบรนด์ เพื่อนำเงินที่ได้มาเป็นทุนดำเนินธุร
กิจที่ตนเองมีความถนัด แผน refinance นี้คาดว่าจะเริ่มเห็นผล
ในต้นปีหน้า และอาจใช้เวลาหลายปีจึงจะชำระหนี้สินได้ทั้งหมด
Cassidy นักวิเคราะห์จากมูดดีส์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg
เกี่ยวกับแผน refinance ของกิบสันว่า กิบสันหวังว่าหากลดภาระ
ค่าใช้จ่ายและลดภาระหนี้สินได้ในระดับหนึ่ง ก็อาจช่วยเพิ่มโอ
กาสให้บริษัทสามารถขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อ refinance ได้
แต่ทางมู้ดดี้ส์มองว่า มีความเป็นไปได้สูงว่าท้ายที่สุดแล้วกิบสัน
จะทำไม่สำเร็จและผิดนัดชำระ หรือไม่ก็มีการปรับโครงสร้างทาง
การเงิน (financial restructuring) อะไรบางอย่าง

ซึ่งแผนการดังกล่าวก็เป็นที่มาของข่าวใหญ่ในอีกสองสามวัน
ถัดมา คือการขายกิจการ Cakewalk ที่กิบสันซื้อมาเมื่อปี
2013 ให้กับบริษัท Bandlab ของสิงคโปร์ ซึ่งดูจะเป็นข่าวดี
ของคนในวงการห้องอัด เว็บไซต์ musicradar เรียกปรากฏ
การณ์นี้ว่า “เทศกาลเซลกระหน่ำขายกิจการ เริ่มขึ้นแล้ว”
นอกจาก Cakewalk กิบสันก็ขายตึก Valley Arts โดยตกลง
ราคาไว้ที่ 11 ล้านเหรียญ แต่จู่ๆกลับไปตกลงขายให้ผู้ซื้ออีก
เจ้าหนึ่งในราคา 12 ล้านเหรียญแทน ซึ่งตอนนี้ก็กำลังเป็นคดี
ความกันอยู่ เนื่องจากผู้ซื้อเจ้าแรกนั้นไม่ยอม
นอกจากนี้ก็ยังมีข่าวลือว่า กิบสันกำลังจะขายกิจการเปียโน
แบรนด์ Baldwin ออกไปทั้งยวง แต่ข่าวนี้ยังไม่ได้รับการยืน
ยันนะครับ
ล่าสุด เว็บไซท์ Digitalmusicnews รายงานว่า กิบสันเพิ่ง
ปลดพนักงานบางส่วนเพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยเริ่มจาก
ลูกจ้างของ Custom Shop มากกว่า 15 คน เป็นลูกจ้าง
ระดับอาวุโสไม่เว้นแม้กระทั่งระดับหัวหน้างานหรือ
supervisor และเหลือพนักงานแผนกนี้อีกราว 100 คน
การปลดพนักงานครั้งนี้แน่นอนว่าสร้างความตื่นตระหนก
ไปถึงพนักงานในแผนกอื่นๆ ว่าจะมีการ lay off ระลอก
ถัดไปเกิดขึ้นตามมาอีกหรือไม่และเมื่อไหร่

พูดถึงประเด็นการปลดคนงาน (โดยเฉพาะในแผนก CS ที่ผลิต
กีตาร์hi-end) คงเป็นตัวบ่งบอกความย่ำแย่ทางการเงินของ
Gibson ได้เป็นอย่างดี เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการที่ไหนก็คงทำเพื่อ
ลดต้นทุนตายตัวหรือ fixed cost เช่น ค่าแรงและค่าบริหารจัดการ
ต่างๆ ของสถานที่ ซึ่งนอกจากลดคนงานกิบสันก็ยังประกาศขาย
โรงงานผลิตกีตาร์ไลน์ ES ที่เมมฟิสด้วยตามที่ผมได้เล่าไป บาง
ทีการลดภาระในสิ่งที่มีเกินจำเป็น มันอาจจะเป็น operational
turnaround อย่างหนึ่งที่กิบสันควรจะทำตั้งแต่แรก มากกว่าไปกู้
เงินกว้านซื้อกิจการที่ตนเองไม่มีความเชี่ยวชาญ อย่างนั้นรึเปล่า?
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นกระบวนการ refinance
ตามที่ Henry Juszkiewicz ได้ออกมาประกาศ แต่กิบสันยังมีสิ่งที่
ต้องทำอีกหลายอย่างในอนาคตซึ่งเราคงต้องจับตาดูกันต่อไป
และคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะกอบกู้สถานการณ์ได้ตามที่
Henry กล่าว ว่าแต่แกจะอยู่ช่วยกอบกู้ (?) บริษัทได้อีกนานแค่
ไหนท่ามกลางแรงเสียดทานจากนักลงทุนที่กำลังรวมกลุ่มกดดัน
ให้แกลาออกอยู่ในขณะนี้
สรุปต้นตอของปัญหา
การลงทุนของกิบสันการตัดสินใจของกิบสันที่กระโดดเข้าสู่วงการ
เครื่องเสียงกับ software ที่ใช้ในห้องอัดนั้น แม้ไม่มีคำนิยามใดจะ
บอกว่าเป็นสิ่งที่ผิดหรือกระทำมิได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันฟ้องว่าเกิด
ความผิดพลาดบางอย่าง ซึ่งผมคิดว่าส่วนหนึ่งก็มาจากการที่กิบสัน
ตัดสินใจเสี่ยงในธุรกิจที่ตัวเองไม่มีความเชี่ยวชาญหรือการจัดการ
เฉพาะสาขาที่ดีพอ อาจเหยียบเรือหลายแคมมากเกินไปจนไม่
สามารถโฟกัสทุกแบรนด์ลูกให้พัฒนาแซงคู่แข่งขันในตลาดนั้นๆ
ได้ กิจการที่ซื้อมาจึงกลายเป็นภาระ เงินที่กู้หนี้ยืมสินมาลงทุน
แทนที่จะได้กำไรก็กลายเป็นหนี้ก้อนใหญ่กว่าเดิม
การเป็นแบรนด์ใหญ่ที่กว้านซื้อกิจการอื่นๆมากมายมาอยู่ใต้ปีกของ
ตัวเอง ก็อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปเช่นกัน หากไม่สามารถบริหารจัด
การอย่างมีประสิทธิภาพได้ทั้งหมดทุกแบรนด์ในสังกัด แบรนด์ลูก
ที่ควรจะทำกำไร ก็อาจกลายเป็นเนื้อร้ายที่อาจฉุดให้องคาพยพทุก
ส่วนติดเชื้อเน่าตามกันไปเป็นลูกโซ่อย่างเครือกิบสันก็เป็นได้
ยุคนี้เราเห็นยักษ์เก่าๆ ล้มมานักต่อนักแล้วนะครับ Nokia, Kodak,
Go Pro, Sony Vaio ฯลฯ (และกิบสันอาจเป็นยักษ์ตัวต่อไป) โลก
ธุรกิจทุกวันนี้มีความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา วันนี้ใหญ่ วันต่อไป
อาจเจ๊งก็เป็นได้ ผมคิดว่า หัวใจของความอยู่รอดทางธุรกิจของ
วันนี้ไม่ใช่ขนาดอีกต่อไป หากแต่เป็นความสามารถในการปรับตัว
ให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงต่างๆ รู้จักพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์
ความต้องการของลูกค้ายุคนี้ที่แตกต่างจากสมัยก่อน มากกว่า
ความเข้าใจลูกค้า และปัญหา QC
ส่วนตัวผมมองว่า เหตุผลหนึ่งที่กิบสันทำยอดขายต่ำมากในช่วง
หลายปีมานี้ โดยเฉพาะปีที่แล้วที่ยอดขายตกลงไป 35% อาจ
เพราะบริษัทฯ ล้มเหลวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความ
ต้องการของลูกค้า 4 – 5 ปีที่ผ่านมาผมเห็นกีตาร์เลสพอลที่ดู
ขาดๆ เกินๆ เยอะอย่างไม่น่าเชื่อ บายดิ้งไม่หุ้มเฟรทบ้างละ
ลูกบิดโรบอท (ที่พังแล้วไม่มีอะไหล่เปลี่ยน) บ้างละ โลโก้
Les Paul 100 ที่หัวเป็นลายมือปู่เลสพอลบ้างละ มุมนึงผมก็ชื่นชม
ในความกล้าเปลี่ยนแปลงของแบรนด์นี้นะ แต่เท่าที่อ่านคอมเมนท์
ผมเห็นว่าสาวกเขาไม่ค่อยชอบอะไรพวกนี้
นอกจากสเปคที่อาจไม่ตอบโจทย์ ก็ยังมีเรื่องของความคุ้มค่า
โดยเฉพาะการขายกีตาร์ Les Paul Standard ในราคาเฉียด
แสนทั้งๆที่เทียบกับของมือสองปีเก่าๆตัวละห้าหกหมื่นก็แทบ
ไม่ต่างกันแถมลูกค้าส่วนใหญ่ยังนิยมซาวด์ปีเก่ามากกว่า ดังนั้น
ก็คงยากที่จะมีใครเต็มใจจ่ายซื้อมือหนึ่งปีใหม่ๆ ยิ่งในยุคเศรษฐ
กิจฝืดเคืองเช่นนี้ด้วย นอกจากนี้จากที่ผมเห็นผ่านตาตามเว็บ
บอร์ดต่างประเทศ ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักเรื่อง QC
ของกิบสันที่ไม่สมราคา เท่าที่จำได้ก็จะมีเรื่องการเก็บงานที่ไม่
ค่อยเรียบร้อยกับการใช้ชุดอิเล็กทรอนิกส์เกรดต่ำลงในกีตาร์รุ่น
ปีหลังๆ อันที่จริง PRS ก็ขายแพงคล้ายๆกัน แต่บริษัทนั้นเขาอยู่
ได้เพราะไม่ก้าวพลาดเรื่องการลงทุน กับอีกอย่างนึงผมคิดว่า
เพราะกิบสันมือสองสวยๆ มันหาได้ไม่ยากนัก ในบ้านเราก็มีมา
เรื่อยๆ

รูปนี้ LP standard HP 2018 เหล่าสาวกดูแล้วรู้สึกยังไงครับ?
แต่สำหรับผม การออกแบบเน้นฟังก์ชั่นแบบนี้ผมชอบนะโดย
เฉพาะปาดเว้า neck joint ลึกๆแบบนี้ แต่ขอเปลี่ยนลูกบิดเป็น
แบบล็อกสายธรรมดา กับขายราคาให้มันถูกกว่านี้หน่อยได้มั้ย
555 เลสพอลสเปคสมัยใหม่ ถึงใครไม่ชอบแต่ผมชอบนะ ว่า
แต่ว่าทำไมมันแพงจุง ถามว่าลูกค้าที่ชื่นชอบความเก่าและมอง
แต่ระดับ Reissue, Custom Shop ก็มีนี่นา ใช่มั้ย? มันก็ใช่ แต่
ลำพังแค่ลูกค้ากลุ่มนี้คงไม่มีกำลังมากพอที่จะสร้างความอยู่รอด
ให้บริษัทได้ การปลดคนงานของ Custom Shop ออกนั่นผมก็
มองว่าบริษัทคงเห็นแล้วว่าที่จริงเอาออกบ้างก็ได้ ให้มันขาด
ตลาดเสียบ้างจะได้มีคุณค่าหน่อย ไม่ใช่ว่าตัวเป็นแสนแต่หา
ซื้อร้านมือสองร้านไหนก็มีขาย คนก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจะ
rare หรือต้องรีบซื้อเก็บอะไรนักหนา เดี๋ยวมันก็มีมาเรื่อยๆ
ความท้าทายจากโลกภายนอก
อีกประเด็นหนึ่งภาวะเศรษฐกิจทุกวันนี้ก็เป็นความท้าทายที่ผู้ผลิต
กีตาร์ต้องรับมือ ผมเคยตั้งข้อสังเกตไว้ในบทความตอน PRS เปิด
ตัวกีตาร์โปร่งในไลน์ SE รวดเดียว 6 รุ่น ว่า ปีนี้ PRS ให้ความสำ
คัญกับการขายในตลาดล่างมากกว่าทุกปีในประวัติศาสตร์การผลิต
กีตาร์ของแบรนด์ คือมีการออกรุ่นใหม่ในไลน์ SE มากขึ้น แถมใส่
งานประดับเอาใจลูกค้ากลุ่มนี้ผิดหูผิดตา เช่นเดียวกันกับไลน์ผลิต
ระดับ Private Stock ที่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ทำตามออร์เดอร์อย่างเดียวละ
แต่มีทำออกมาเป็นล็อตจำนวนจำกัดออกมาเรื่อยๆ เริ่มไม่ rare item
เหมือนเมื่อก่อนละ
ปรากฏการณ์ปากกัดตีนถีบเช่นนี้ของผู้ผลิตกีตาร์ ทำให้เราเห็นว่า
ตลาดเครื่องดนตรีโดยเฉพาะสินค้ามือหนึ่งทุกวันนี้ซบเซาลงอย่าง
มาก กีตาร์รุ่นสูงๆ ขายยากขึ้น การปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยน
แปลงจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องรู้จักเอาใจ
ตลาดล่าง ต้องมีสินค้าราคาคุ้มค่าที่สเปคและหน้าตายังดูน่าซื้อ
ส่งท้ายก่อนจาก
ผมนำเสนอบทความนี้ไปตามข้อเท็จจริงนะครับ ตรงไหนมีลิงค์
อ้างอิงผมก็ใส่ลิงค์ไว้ในข้อความ ไม่ได้พูดเกินเลย ถ้าตรงไหน
เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผมผมก็บอกไว้ว่าผมคิดเอง ส่วนตัว
ผมเองแม้จะไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้กิบสันแต่ก็ชอบเสียงของกีตาร์ยี่
ห้อนี้มากๆ โดยเฉพาะเสียงแตกของ LP Std. ติดปิคอัพ Burst
Bucker เบสเน้นๆ แหลมพุ่งๆ ด้วยแล้ว แม่มสะใจเป็นที่สุด ผม
เห็นด้วยกับ Cassidy ผู้เชี่ยวชาญของมู้ดดีส์ที่กล่าวไว้ว่า ธุรกิจ
หลักของกิบสันนั้น แท้จริงแล้วแข็งแกร่งและมีความยั่งยืนในตัว
เองอยู่แล้ว เพียงแต่กิบสันต้องเร่งแก้ปัญหาการเงิน การบริหาร
จัดการ ฯลฯ ให้ได้
ก็ขอให้กิบสันสามารถแก้ไขปัญหาจนผ่านพ้นวิกฤติได้ทันเวลา
นะครับ
**********************************************
CR : FUNKYFREEMAN