บทนำ: ดนตรีถือเป็นปรากฏการณ์สากลที่ปรากฏในทุกวัฒนธรรมของมนุษย์ หลายคนเชื่อว่าดนตรีคือ “ภาษาสากล” ที่ทุกคนสามารถเข้าใจความรู้สึกผ่านท่วงทำนองโดยไม่ต้องใช้คำพูด อย่างไรก็ตาม ยังมีแง่มุมหลายด้านของดนตรีที่ทรงคุณค่าแต่ไม่ได้รับการอธิบายอย่างสมบูรณ์ทางวิทยาศาสตร์หรือปรัชญา แนวคิดต่อไปนี้คือแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับพลังของดนตรี ซึ่งอาจจัดอยู่ในประเภท “ความจริงที่ยังไม่ถูกอธิบาย” และสามารถนำมาใช้รณรงค์เพื่อให้เด็กทุกคนเข้าถึงภาษาดนตรี อันจะส่งผลเชิงบวกอย่างแท้จริงต่อการศึกษาและพัฒนาการของมนุษย์
1. ดนตรี: โครงสร้างพื้นฐานของความคิดสร้างสรรค์ไร้ภาษา
แนวคิด: ดนตรีทำหน้าที่เป็นภาษาของความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่ต้องพึ่งพาภาษาเขียนหรือภาษาพูด เด็กๆ สามารถสื่อสารความคิดและอารมณ์ผ่านเสียงดนตรีได้โดยตรง ซึ่งช่วยให้พวกเขาแสดงออกถึงจินตนาการอย่างอิสระ ดนตรีสามารถสื่อสารอารมณ์และความคิดได้โดยไม่ต้องใช้คำพูดและถือเป็น “ภาษาพิเศษ” สำหรับการแสดงออกของตัวเอง เช่น เด็กที่ยังพูดไม่เก่งก็อาจเคาะจังหวะหรือฮัมเพลงเพื่อบอกความรู้สึกของตนเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดนตรีเปิดโลกจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์โดยไร้ขีดจำกัดของภาษา
หลักฐานและผลกระทบ: การให้เด็กได้เรียนรู้หรือเล่นดนตรีช่วยให้พวกเขามี “ผืนผ้าใบ” ในการวาดความคิดและความรู้สึกของตนเองผ่านเสียงเพลง การบรรเลงทำนองหรือแต่งเพลงทำให้เด็กได้ถ่ายทอดอารมณ์ที่อาจอธิบายด้วยคำพูดได้ยากออกมาโลกภายนอก การแสดงออกอย่างอิสระผ่านดนตรีนี้ช่วยจุดประกายความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ กระตุ้นให้เด็กกล้าสำรวจความคิดและอารมณ์ของตนเองอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กระบวนการสร้างสรรค์เพลงหรือการด้นสด (improvisation) ยังฝึกทักษะการคิดนอกกรอบและการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ เด็กๆ จะได้เรียนรู้การจัดระเบียบแนวคิดแบบนักประพันธ์เพลงที่นำองค์ประกอบต่างๆ มาผสมผสานเป็นผลงานใหม่ ซึ่งทักษะนี้สามารถถ่ายทอดไปใช้ในสาขาวิชาอื่นๆ ได้ด้วย การปลูกฝังภาษาดนตรีให้เด็กทุกคนตั้งแต่วัยเยาว์ จึงเท่ากับการวางรากฐานให้พวกเขามีเครื่องมือความคิดสร้างสรรค์ที่ทรงพลัง ตั้งแต่ก่อนที่ทักษะภาษาพูดจะพัฒนาเต็มที่
2. ดนตรี: สื่อกลางแห่งจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
แนวคิด: ดนตรีมีศักยภาพเป็นสะพานเชื่อมระหว่างจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึกของมนุษย์ ท่วงทำนองและจังหวะสามารถกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกอันลึกซึ้งหรือความทรงจำที่ซ่อนอยู่ให้ผุดขึ้นมาได้โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ตัวอย่างเช่น การฟังเพลงที่คุ้นเคยอาจปลุกความทรงจำวัยเด็กหรือทำให้เกิดอารมณ์เศร้า-สุขอย่างฉับพลัน ทั้งที่ผู้ฟังไม่ได้ตั้งใจนึกถึงเรื่องนั้น ดนตรีจึงทำงานในระดับจิตใต้สำนึก คอยเชื่อมโยงประสบการณ์ภายในกับโลกภายนอกอย่างแนบเนียน นอกจากนี้ ในหลายวัฒนธรรมโบราณ ดนตรียังถูกใช้เป็นสื่อกลางในการเปลี่ยนแปลงภาวะจิต (altered state of consciousness) เช่น พิธีกรรมที่หมอผีหรือนักบวชใช้การตีกลองหรือสวดมนต์เป็นจังหวะเร็วเพื่อพาตนเองหรือผู้ร่วมพิธีเข้าสู่ภวังค์หรือภาวะจิตทอด(transcendence) การที่ดนตรีสามารถส่งอิทธิพลต่อภาวะจิตเช่นนี้เป็น “ความจริง” ที่แม้ได้รับการยอมรับมายาวนาน แต่ก็ยังอธิบายได้ไม่หมดทางวิทยาศาสตร์
หลักฐานและผลกระทบ: งานวิจัยยุคใหม่เริ่มยืนยันพลังลึกลับของดนตรีต่อจิตใจมากขึ้น นักวิทยาศาสตร์พบว่าการฟังดนตรีสามารถเหนี่ยวนำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงคลื่นสัญญาณประสาทคล้ายกับเวลาที่คนเราเข้าสู่ภาวะทรานส์ (trance) หรือภวังค์ได้จริงๆ ในการทดลองหนึ่ง มีการเปิดเพลงที่มีจังหวะชวนเคลิ้มให้ผู้เข้าทดลองฟัง พบว่าผู้ฟังเกิดความรู้สึกเหมือนล่องลอยหรือมีสติเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับที่สัญญาณสมองมีรูปแบบแตกต่างจากปกติอย่างชัดเจน นับเป็นครั้งแรกที่มีการบันทึกภาพสมองขณะอยู่ในภาวะทรานส์ที่ถูกกระตุ้นด้วยดนตรีโดยตรง นักวิจัยยังตั้งข้อสังเกตว่าดนตรีจังหวะเร็วสามารถกระตุ้นสมองให้เข้าสู่ภาวะคล้ายการทำสมาธิหรือถูกสะกดจิต ลดการรับรู้ต่อสิ่งเร้าภายนอกและดื่มด่ำอยู่กับโลกภายใน ซึ่งสอดคล้องกับแนวปฏิบัติของหมอพื้นบ้านดั้งเดิมที่ใช้การตีกลองเร็วๆ ในการเข้าสู่ภวังค์มาแต่โบราณ
ที่น่าสนใจคือ ดนตรียังสามารถเข้าถึงจิตใต้สำนึกของคนไข้ที่มีภาวะบกพร่องทางสติได้อย่างน่าประหลาดใจ กรณีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ขั้นรุนแรง หลายคนไม่สามารถจดจำคนรอบข้างหรือสื่อสารด้วยคำพูดได้ แต่เมื่อเปิดเพลงโปรดหรือเพลงสมัยหนุ่มสาวให้ฟัง ผู้ป่วยเหล่านี้มักจะแสดงสีหน้ารับรู้หรือฮัมเพลงตามได้อย่างถูกต้อง ราวกับว่าความทรงจำที่หายไปถูกปลุกกลับมาโดยดนตรี ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาพบว่า “พลังของดนตรีในการปลดล็อกความทรงจำและความสามารถทางสติปัญญาในผู้ป่วยอัลไซเมอร์” เป็นปรากฏการณ์ที่วงการแพทย์ยอมรับกันมานาน แม้จะยังไม่มีกรอบทฤษฎีสมบูรณ์มารองรับ กล่าวได้ว่าดนตรีเข้าถึงส่วนลึกของสมองที่เก็บอารมณ์และความทรงจำเอาไว้ และสามารถกระตุ้นส่วนเหล่านั้นได้แม้ในยามที่การสื่อสารรูปแบบอื่นๆ ล้มเหลว ดังนั้น การนำดนตรีมาใช้ในบริบทการศึกษา เช่น การเปิดเพลงเพื่อช่วยให้เด็กผ่อนคลายหรือจดจำบทเรียน หรือแม้แต่การฝึกสมาธิผ่านดนตรี จึงอาจช่วยส่งเสริมการเรียนรู้และสุขภาวะทางจิตใจได้ โดยอาศัยกลไกการทำงานของจิตใต้สำนึกที่ดนตรีเป็นกุญแจเปิดออกมา
3. ดนตรี: รูปแบบการเรียนรู้ที่ทรงพลังเหนือการเรียนรู้แบบเดิม
แนวคิด: ดนตรีอาจถือได้ว่าเป็น “สุดยอดรูปแบบการเรียนรู้” ที่กระตุ้นสมองมนุษย์ในแบบที่การเรียนการสอนทั่วไปไม่สามารถทำได้ การเรียนดนตรีไม่เพียงสอนให้เด็กเล่นเครื่องดนตรีหรือร้องเพลงเท่านั้น แต่ยังพัฒนาศักยภาพสมองในด้านอื่นๆ โดยเกิด การถ่ายทอดทักษะ (transfer of skills) ไปสู่ความสามารถทางปัญญาทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น การฝึกเล่นเปียโนหรือไวโอลินต้องใช้การประสานงานระหว่างสายตา มือ และการฟัง ส่งผลให้สมองหลายส่วนทำงานประสานกัน ทั้งระบบมอเตอร์ (การควบคุมกล้ามเนื้อ) ระบบการได้ยิน และการจดจำรูปแบบเสียง นี่เป็นการ ออกกำลังสมองแบบองค์รวม ที่กระตุ้นทั้งซีกสมองซ้าย-ขวา เมื่อเทียบกับการเรียนรู้ในห้องเรียนปกติที่มักแยกทักษะเป็นรายวิชา (เช่น ท่องจำคำศัพท์หรือคำนวณตัวเลข) การเรียนดนตรีมีความโดดเด่นที่เชื่อมโยงหลายทักษะเข้าด้วยกันในคราวเดียว
หลักฐานและผลกระทบ: มีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนว่าการศึกษาดนตรีช่วยเพิ่มพูนความสามารถทางสติปัญญาโดยรวมของเด็ก ผลการศึกษาทางประสาทวิทยา พบว่าเด็กที่ได้รับการฝึกดนตรีอย่างต่อเนื่อง มีพัฒนาการของสมองและทักษะทางปัญญาที่ดีกว่า เด็กทั่วไปในหลายด้าน เช่น ความจำคำศัพท์ ความสามารถในการออกเสียงภาษาที่สอง ความสามารถในการอ่าน และฟังก์ชันบริหารจัดการ (executive functions) เช่น การวางแผนและการควบคุมตนเอง นอกจากนี้ การเรียนเครื่องดนตรีตั้งแต่เด็กยังสัมพันธ์กับคะแนนไอคิวและผลการเรียนที่สูงขึ้นเมื่อตอนโตเป็นผู้ใหญ่ กล่าวได้ว่าการฝึกดนตรีมี ผลระยะยาว ต่อพัฒนาการทางสมองซึ่งคงอยู่ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ ไม่ใช่แค่ช่วงที่ฝึกซ้อมเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น งานวิจัยล่าสุดระบุว่า ช่วงวัยเด็กเล็ก เป็นช่วงเวลาสำคัญ (sensitive period) ที่สมองตอบสนองต่อการฝึกดนตรีได้ดีที่สุด หากเริ่มต้นเร็วและฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ สมองจะมีการปรับโครงสร้าง (neuroplasticity) เพื่อรองรับทักษะทางดนตรีและเกิดการเชื่อมโยงกับทักษะอื่นๆ อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างหนึ่งคือ งานวิจัย 5 ปีของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (USC) ที่พบว่าการให้เด็กเรียนดนตรีช่วยเร่งพัฒนาการสมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลเสียง ภาษา การรับรู้เสียงพูด และทักษะการอ่าน เมื่อเทียบกับเด็กที่ไม่ได้เรียนดนตรี ผลการวิจัยสรุปว่า “เด็กที่ได้รับการฝึกดนตรีสามารถประมวลผลเสียงได้แม่นยำกว่า” และสมองมีการพัฒนาด้านภาษาและการอ่านอย่างชัดเจน นอกจากนี้ งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature พบว่าการให้เด็กเรียนดนตรีอย่างมีแบบแผน (แทนที่จะฟังเพลงเฉยๆ) ส่งผลให้ ความสามารถทางสติปัญญาและผลการเรียนโดยรวมของเด็กดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ได้พัฒนาเฉพาะทักษะดนตรีเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ความฉลาดทางภาษา คณิตศาสตร์ และฟังก์ชันบริหารสมอง (เช่น การแก้ปัญหาและสมาธิ) อีกด้วย กล่าวคือ ดนตรีเสริมสร้างสมองให้ “เก่งขึ้น” ในหลายมิติไปพร้อมๆ กัน
ผลการค้นพบเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า การศึกษาดนตรีคือการลงทุนเพื่อพัฒนาสมองและศักยภาพของเด็กในระยะยาว โรงเรียนที่บูรณาการวิชาดนตรีเข้ากับหลักสูตรอาจช่วยให้นักเรียนมีสมาธิดีขึ้น เรียนรู้วิชาอื่นได้เร็วขึ้น และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหา มากกว่านั้น ดนตรียังช่วยพัฒนาทักษะทางสังคม (เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่นในวงดนตรี) และทักษะทางอารมณ์ (การอดทนฝึกซ้อมและการแสดงออกทางความรู้สึกอย่างเหมาะสม) ด้วย เมื่อมองภาพรวม ดนตรีเป็น รูปแบบการเรียนรู้องค์รวม ที่เหนือกว่าการท่องจำหรือการเรียนแบบทฤษฎีล้วนๆ การรณรงค์ให้เด็กทุกคนได้เรียนดนตรีจึงเปรียบเสมือนการมอบเครื่องมือเสริมพลังสมองและทักษะชีวิตที่ครบด้าน ซึ่งจะเป็นพื้นฐานให้พวกเขาประสบความสำเร็จในการเรียนรู้แขนงอื่นๆ ต่อไป
4. ดนตรี: ภาษากำเนิดและสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์
แนวคิด: มีข้อเสนอว่าวิวัฒนาการของดนตรีอาจมาก่อนหรือคู่ขนานกับวิวัฒนาการของภาษาพูด ดนตรีอาจเป็นภาษากำเนิด ที่มนุษย์ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่เกิดในรูปของสัญชาตญาณทางเสียงและจังหวะ เราสามารถสังเกตได้ว่า ทารกน้อยแรกเกิดสามารถตอบสนองต่อดนตรี ทั้งที่ยังพูดหรือเข้าใจภาษามนุษย์ไม่ได้ด้วยซ้ำ งานวิจัยด้านประสาทวิทยาพบว่าทารกแรกเกิดไม่กี่วันสามารถจับจังหวะตีและรับรู้รูปแบบของจังหวะดนตรีได้ นั่นคือ สมองของมนุษย์ถูกตั้งโปรแกรมมาให้รู้จักจังหวะเพลงตั้งแต่กำเนิด ความสามารถในการรับรู้ “จังหวะ” นี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ภายหลัง แต่เป็นกลไกทางปัญญาที่แยกต่างหากและทำงานตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่ามีบทบาทต่อพัฒนาการการได้ยินในวัยทารกและอาจเป็นรากฐานทางวิวัฒนาการที่ทำให้มนุษย์เรามีดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาตลอด นอกจากการรับรู้จังหวะแล้ว ทารกวัยเพียงไม่กี่เดือนยังแสดงให้เห็นความสามารถจำแนกเสียงสูง–ต่ำหรือโครงสร้างเสียงเพลงง่ายๆ ได้บางส่วน แม้ยังไม่เคยผ่านการฝึกฝนดนตรีมาก่อน งานทดลองหนึ่งทดสอบเด็กอายุ 6 เดือนโดยเปิดเสียงดนตรีที่มีโครงสร้างเสียงสูงต่ำต่างกัน ปรากฏว่าเด็กประมาณ 30% สามารถจำแนกความต่างของเสียงเพลงเหล่านั้นได้ ซึ่งชี้ว่า พรสวรรค์ทางดนตรีบางส่วนเป็นสิ่งที่ “ติดตัวมาแต่เกิด” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมด ในขณะที่เด็กบางคนที่เหลืออาจยังไม่แสดงความสามารถนั้นออกมา ดังนั้นเชื่อได้ว่ามีทั้งองค์ประกอบทางพันธุกรรมและการเลี้ยงดูที่ร่วมกำหนดความสามารถทางดนตรีของแต่ละคน
หลักฐานและผลกระทบ: หลักฐานจากงานวิจัยทารกทำให้เราเข้าใจว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณด้านดนตรีมาตั้งแต่เกิด ไม่ต่างจากความสามารถเรียนรู้ภาษา เมื่อเป็นเช่นนี้ การส่งเสริมให้เด็กทุกคน “พูด” ภาษาดนตรีจึงสมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะเด็กทุกคนล้วนมีพื้นฐานที่จะเข้าใจและเพลิดเพลินกับดนตรีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราพบว่าทารกทั่วโลกไม่ว่าจะเติบโตในวัฒนธรรมใด ย่อมถูกกล่อมเกลาด้วยเสียงเพลงกล่อมเด็ก (lullaby) จากพ่อแม่ผู้ปกครอง สิ่งนี้สะท้อนว่าดนตรีเป็นเครื่องมือสื่อสารพื้นฐานระหว่างผู้คนและสายใยในครอบครัวตั้งแต่วัยทารก การบรรจุดนตรีเข้าในชีวิตประจำวันหรือหลักสูตรของเด็กเล็กจึงเป็นการ ใช้ศักยภาพตามธรรมชาติของเด็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ ความเป็นสากลของดนตรี (universal nature of music) ยังช่วยเชื่อมโยงผู้คนข้ามภาษาและวัฒนธรรม เด็กที่เรียนรู้ดนตรีจะเข้าถึง “ภาษากลาง” ที่สามารถใช้สื่อสารกับคนอื่นได้โดยไม่ต้องอาศัยคำพูด ทั้งยังช่วยให้พวกเขาเปิดใจกว้างรับวัฒนธรรมที่แตกต่างได้ง่ายขึ้น
การยอมรับว่าดนตรีคือสัญชาตญาณดั้งเดิมของมนุษย์ยังนำไปสู่คำถามทางปรัชญาและวิทยาศาสตร์ เช่น ทำไมมนุษย์จึงต้องมีดนตรี? หรือดนตรีมีบทบาทอย่างไรต่อการอยู่รอดและพัฒนาเผ่าพันธุ์ คำถามเหล่านี้ยังคงเป็นปริศนา (“ความจริงที่ยังไม่ถูกอธิบาย”) แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ มนุษย์ทุกคนมีความผูกพันกับดนตรีไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ การให้เด็กได้เข้าถึงและเรียนรู้ดนตรีตั้งแต่เล็กจึงอาจเป็นการเติมเต็มศักยภาพที่ติดตัวมนุษย์มาแต่โบราณ ช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคม
บทสรุป: ดนตรีเพื่ออนาคตการศึกษาที่ดีกว่า
แนวคิดทั้งสี่นี้ชี้ให้เห็นถึงพลังอันน่าอัศจรรย์ของดนตรีที่มีต่อมนุษย์ ดนตรีเป็นทั้งภาษาของความคิดสร้างสรรค์ที่ไร้พรมแดนทางภาษา เป็นสื่อกลางที่เข้าถึงจิตใจชั้นลึกของมนุษย์ เป็นเครื่องมือการเรียนรู้ที่ช่วยยกระดับสมองและทักษะในวงกว้าง และยังเป็นส่วนหนึ่งของสัญชาตญาณดั้งเดิมที่ติดตัวเราทุกคน การนำดนตรีมาบูรณาการในระบบการศึกษาและการพัฒนาเด็กทุกคนจึงมีศักยภาพที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ เสริมสร้างความสามารถการเรียนรู้ เสริมพลังด้านอารมณ์จิตใจ หรือการหล่อหลอมมนุษย์ที่สมบูรณ์รอบด้านมากขึ้น
การรณรงค์ให้เด็กทุกคนเข้าถึงภาษาดนตรีไม่ใช่แค่การสอนเพลงหรือทำนอง แต่คือการมอบ “เครื่องมือ” แห่งการพัฒนาตนเองที่ทรงพลังและหลากหลาย เด็กที่ได้รับโอกาสนี้จะสามารถใช้ดนตรีเป็นช่องทางแสดงออกความเป็นตัวเอง เข้าใจตนเองและผู้อื่นลึกซึ้งขึ้น มีสมาธิและความคิดสร้างสรรค์ในการเรียน และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสามารถทางสมองและความฉลาดทางอารมณ์ควบคู่กัน ด้วยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และแนวคิดเชิงปรัชญาที่สนับสนุนประโยชน์รอบด้านของดนตรี เราสามารถยืนยันได้ว่า ดนตรีคือกุญแจสำคัญดอกหนึ่งในการปลดล็อกศักยภาพมนุษย์ การผลักดันนโยบายหรือโครงการที่เปิดโอกาสให้เด็กทุกคนได้เรียนรู้ดนตรีจึงเป็นการลงทุนเพื่ออนาคตของสังคม ที่ซึ่งเยาวชนเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความคิดสร้างสรรค์ สติปัญญา และจิตใจที่งดงามสมบูรณ์พร้อม
แหล่งอ้างอิง: งานวิจัยและบทความทางวิชาการที่เกี่ยวข้องได้แก่ บทความ “Quality Music Education Nurtures Creativity in Youth” โดย DC Strings Workshop ซึ่งระบุถึงบทบาทของดนตรีในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ; งานวิจัยของมหาวิทยาลัยยอร์กที่ค้นพบการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณสมองเมื่อเกิดภาวะทรานส์จากการฟังดนตรี ; การศึกษาการใช้ดนตรีในผู้ป่วยและบริบทของจิตใต้สำนึกที่บ่งชี้พลังของดนตรีในการกระตุ้นความทรงจำและอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ ; บทความปริทัศน์ในวารสาร Frontiers in Neuroscience เกี่ยวกับผลของการฝึกดนตรีที่มีต่อพัฒนาการสมองเด็ก ซึ่งพบว่าการฝึกดนตรีช่วยพัฒนาความจำ การอ่าน ภาษา และแม้แต่ระดับเชาวน์ปัญญาในวัยผู้ใหญ่ ; รวมถึงรายงานจาก USC และงานวิจัยในวารสาร Nature ที่ยืนยันว่าการเรียนดนตรีช่วยเร่งพัฒนาการสมองด้านภาษาและทักษะการคิดขั้นสูงในเด็ก ; ตลอดจนงานวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัมที่ชี้ว่าทารกมีความสามารถรับรู้จังหวะดนตรีโดยกำเนิดตั้งแต่แรกเกิด และการศึกษาที่พบหลักฐานเกี่ยวกับองค์ประกอบทางพันธุกรรมของพรสวรรค์ทางดนตรีในทารก แนวคิดเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานเชิงประจักษ์และประสบการณ์ทางวัฒนธรรมซึ่งล้วนเน้นย้ำว่า ดนตรีคือทรัพยากรอันทรงคุณค่าของมนุษยชาติ ที่เราควรส่งเสริมให้เยาวชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่เพื่ออนาคตที่สดใสของพวกเขาเองและสังคมโดยรวม