ที่ไปที่มาของดนตรีเปิดหมวก
เรื่องราวของเสียงเพลง ตามริมถนน ตลาดนัด สวนสารธารณะ
ในความวุ่นวายจากการดำเนินชีวิตของมนุษย์ เสียงเพลงคืออีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันที่ผ่านไปบนปฏิทิน
มีคนกลุ่มหนึ่งที่ร่ำร้องบทเพลงแม้ไม่มีคนฟังอยู่ที่บางแห่งเพื่อจุดประสงค์ที่ต่างกันออกไปซึ่งบางครั้งคนเหล่านี้นี่เอง
ที่ทำให้วันร้าย ๆ ของเราผ่านไปได้แบบไม่สะบักสะบอมนัก
เคยนึกสงสัยกันรึเปล่าว่าวัฒนธรรมการเล่นดนตรีในที่สาธารณะเริ่มขึ้นจากตรงไหน ทำไมถึงใช้คำว่า ‘วณิพก’ หรือ
ที่ต่างชาติเรียกว่า ‘busker’ แทนสิ่งที่พวกเขาหรือเธอทำ มาหาคำตอบของเสียงเพลงในเมืองใหญ่ไปพร้อม ๆ กันเลย
We are buskers
แรกเริ่มเดิมที การเล่นดนตรีข้างถนนมีจุดกำเนิดมาจากการแสดงที่เรียกว่า street performance หรือ busking
(street music จึงไม่ใช่คำที่ใช้เรียกแนวเพลง แต่เป็นคำที่ถูกยกขึ้นมาเรียกการแสดงดนตรีบนท้องถนนมากกว่า)
โดยในอดีตจะเป็นการโชว์ทักษะอะไรก็ได้ จะซีเรียสหรือขบขันก็ไม่ว่ากันเพื่อสร้างความบันเทิงให้คนที่เดินผ่านไป
ผ่านมาแลกกับอาหาร เครื่องดื่ม หรือเงิน
คำว่า ‘busking’ ถูกบัญญัติใช้ครั้งแรกในภาษาอังกฤษตอนช่วงกลาง
ทศวรรษ 1860s โดยสหราชอาณาจักร ส่วนคำว่า ‘busk’ ที่มาจากคำว่า ‘busker’ (วณิพก) นั้น มีรากมาจากภาษา
สเปนว่า ‘buscar’ ซึ่งหมายถึงการเสาะแสวงหานั่นเอง
Busking คือสิ่งที่แทรกตัวอยู่ในวัฒนธรรมของทุกประเทศทั่วโลกมาตั้งแต่อดีต (ถึงแม้จะไม่มีจดหมายเหตุทาง
ประวัติศาสตร์ระบุแน่ชัดว่าเมื่อไหร่ แต่เราเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นมาแล้วหลายสิบปีก่อนที่จะมีชื่อเรียกด้วยซ้ำ)
ในวัฒนธรรมนักเดินทางอย่างชาวยิปซีสิ่งนี้ถูกเรียกว่า Romani People เป็นทั้งชื่อเรียกและใช้อธิบายความโรแมนติก
ของดนตรียิปซีไปพร้อม ๆ กัน ส่วนในยุคกลางของฝรั่งเศสนั้นรู้จะจักกันในชื่อ Troubadours กับ Jongleurs และมี
ชื่อเรียกที่ต่างกันออกไปมากมายในอีกหลายประเทศ พร้อมกับรูปแบบการแสดงที่ต่างออกไปตามวัฒนธรรมนั้น ๆ
Pass the Hat
‘medicine show’ รูปแบบของการแสดงก็ตรงตามชื่อของมัน นั่นคือการโฆษณายารักษาโรคและสมุนไพรต่าง ๆ ผ่าน
การแสดงซึ่งเรียกได้ว่าเป็นละครเวทีขนาดย่อม ๆ และเมื่อโชว์ในแต่ละครั้งจบลง ผู้แสดงก็จะวางหมวกลงกับพื้นเพื่อเป็น
สัญญาณให้ผู้ชมที่ล้อมวงดูรู้ว่านี่คือเวลาที่พวกเขาสามารถเดินเข้ามาซื้อตัวสินค้าได้แล้ว
หลังจากสมัยรุ่งเรืองของmedicine show ช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 ยุคทองของ one man band การแสดงซึ่งประกอบไปด้วย คนหนึ่งคนกับ
เครื่องดนตรีหลากชนิดเท่าที่เขาหรือเธอจะสามารถเล่นไปพร้อม ๆ กันได้ ถ้านึกภาพไม่ออกลองเปิดดู mv ของ Coldplay
เพลง A Sky Full Of Stars ดูสภาพของ คริส มาร์ติน แล้วคุณจะเข้าใจสิ่งที่เรากำลังพูดถึง
แต่ในปัจจุบัน one man band ได้พัฒนาไปไกลกว่านั้นแล้วด้วยการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้เล่นสามารถเปิดลูปเอฟเฟกต์จากอุปกรณ์ต่าง ๆ หรือเปิดเสียง midi ที่บันทึกเสียงไว้แล้วเล่นดนตรีสดเป็นเรียลไทม์ด้วยตัวคนเดียวได้เลย
ภาพที่ชินตาของนักดนตรีในที่สาธารณะของคุณเป็นอย่างไร? เราขอถือวิสาสะเดาเองเองว่าภาพของผู้ชายหรือผู้หญิงที่เล่นกีตาร์
ตัวเดียวแล้วร้องเพลงมักถูกนึกถึงเป็นอันดับแรก ๆ เหตุผลของเรื่องนี้สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูดที่ว่า ‘ดนตรีโฟล์กคือส่วนสำคัญ
ของวัฒนธรรม busking มาเสมอ’ คาเฟ่ ภัตตาคาร บาร์ หรือผับ ล้วนมีแรงบันดาลใจมาจากดนตรีโฟล์กของเหล่า buskers ทั้งนั้น และมีนักดนตรีผู้โด่งดังไม่น้อยที่หัดเดินจากเส้นทางนี้มาก่อนเช่น B.B.King, Tracy Chapman, Beck, Passenger, Tash Sultana, Ed Sheeran เป็นต้น
กระแสความนิยมของ busking ถูกผลักให้สูงขึ้นไปอีกในยุค 60s ณ เวลาที่วัฒนธรรมฮิปปี้รุ่งเรือง งานเทศกาลของเหล่า
buskers ที่ถูกเรียกว่า ‘Be-In’ เริ่มจากตรงนี้ ตัวงานนี้มีรูปแบบที่คล้ายกับเทศกาลดนตรีในปัจจุบันค่อนข้างมาก แต่ต่างกันตรงที่
คนดูสามารถเข้าดูงานได้ฟรี และรายได้อย่างเดียวของนักดนตรีที่เข้ามาเล่นคือการเปิดหมวก หนึ่งในเทศกาลที่สำคัญบนหน้า
ประวัติศาสตร์ของช่วงเวลานี้คืองานที่มีชื่อว่า ‘The Human Be-In’ ในปี 1967 จัดขึ้นใน Golden Gate Park, San Francisco
ซึ่งมีไลน์อัพหลักอย่าง Grateful Dead และ Jimi Hendrix (ปัจจุบัน busker festival ยังคงมีอยู่และถูกจัดขึ้นทุกปีในหลาย
ประเทศทั่วโลก โดยในงานเต็มไปด้วยการแสดงทักษะต่าง ๆ ซึ่งรวมไปถึงดนตรีด้วย)
Sunset on the Street
แล้วเหล่า buskers ในปัจจุบันเป็นอย่างไรกันบ้าง? แน่นอนว่าการเปิดหมวกเพื่อจุดประสงค์ต่าง ๆ ก็ยังคงมีอยู่ ซ้ำยังมีการแสดง
ในรูปแบบใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย และแน่นอนว่าเสียงเพลงก็ยังคงมีอยู่… สิ่งที่ต่างออกไปก็คงเป็นการจัดระเบียบที่แสดงให้เห็นว่า
busking คือสิ่งที่สำคัญมากขึ้น และเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลียคือตัวอย่างที่ดีของผู้สนับสนุนในเรื่องนี้ ล่าสุด Robert Doyle
นายกเทศมนตรีของเมืองนี้กำลังเร่งให้การมีอยู่ของ buskers ถูกจัดการอย่างเป็นระบบ “การมีอยู่ของพวกเขาช่วยสร้างบรรยากาศที่
มาก และผมเชื่อว่าพวกเขาจะทำให้เมืองของเรากลายเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ที่สุดของโลก” ซึ่งแผนการสำหรับ buskers ถูกคาดการณ์ไว้
ล่วงหน้าและคาดว่าจะเป็นรูปเป็นร่างได้ภายใน 6 ปี ทั้งต้องออดิชันเพื่อเข้าเล่น จำกัดพื้นที่ที่เปิดให้เล่นได้ แต่ล่าสุด (2017) ยังมีการแก้
ไขในหลาย ๆ จุดอยู่ เช่น เรื่องเสียงที่มีคุณภาพค่อนข้างต่ำและอยู่ในระดับที่ดังเกินไปสำหรับชุมชน แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนี้ก็มี
เหล่า buskers เก่าแก่ของเมืองบางส่วนค่อนข้างไม่เห็นด้วยเพราะจะเป็นการทำให้การมีอยู่ของพวกเขาและเธอลดน้อยลง และมันจะลด
ทอนคุณค่าของ busking ลงไป
แต่ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร สิ่งสำคัญก็คือเสียงเล็ก ๆ ในเมืองใหญ่นี้ยังคงถูกให้ค่าความสำคัญที่มากมายต่อจิตใจของผู้คนที่อาศัย
อยู่ที่นั่นเสมอ ด้วยเหตุผลที่เราเชื่อว่าเสียงเพลงเหล่านั้นจะช่วยให้วันที่เหนื่อยล้าดูไม่ยากลำบากจนเกินไปที่จะใช้ชีวิต : )
อ้างอิง
http://www.abc.net.au/news/2017-09-15/melbourne-buskers-to-face-public-auditions-under-new-plan/8950680
http://www.gutenberg.us/articles/history_of_busking
http://cultureandcommunication.org/deadmedia/index.php/Traveling_Medicine_Show